ดูแลตนเองอย่างไร ให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการ ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ การป้องกันที่ครอบคลุมจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดโอกาสที่เซลล์จะกลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้มาก
นี่คือแนวทางการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคมะเร็งที่สำคัญที่สุด:
1. การปรับพฤติกรรมการกิน (อาหารต้านมะเร็ง)
เน้นผักและผลไม้หลากสี: รับประทานผักและผลไม้ให้ได้อย่างน้อย 5 ส่วนต่อวัน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น คะน้า บรอกโคลี มะเขือเทศ แครอท พืชตระกูลเบอร์รี
เลือกธัญพืชและใยอาหารสูง: บริโภคข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ถั่ว และธัญพืชเต็มเมล็ด เพื่อให้ได้ใยอาหารเพียงพอ ซึ่งช่วยในการขับถ่ายและลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่
ลดเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป: จำกัดการบริโภคเนื้อแดง (เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู) และหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูปทุกชนิด (เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน)
หลีกเลี่ยงอาหารก่อมะเร็ง:
ลดอาหารปิ้ง ย่าง ทอด ที่ไหม้เกรียม
หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองเค็ม และอาหารที่มีเชื้อรา (โดยเฉพาะถั่วลิสง ข้าวโพด)
ลดการใช้น้ำมันทอดซ้ำ
ปรุงอาหารให้สุก สะอาด: ไม่กินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ หรือปลาน้ำจืดดิบ เพื่อป้องกันพยาธิใบไม้ในตับ (ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดี)
2. การจัดการน้ำหนักและการออกกำลังกาย
ควบคุมน้ำหนักตัว: รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (BMI เหมาะสม) เนื่องจาก โรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ควรออกกำลังกายระดับปานกลางถึงหนัก อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (เช่น เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน) เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
3. การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงภายนอก
งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: บุหรี่ เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของมะเร็งปอดและมะเร็งอื่น ๆ ส่วนแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งเต้านม การเลิกเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
ป้องกันแสงแดด: หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดโดยตรง โดยเฉพาะช่วง 10 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น และควรทาครีมกันแดด สวมหมวก หรือเสื้อผ้าแขนยาว เพื่อป้องกัน มะเร็งผิวหนัง
หลีกเลี่ยงมลพิษและสารเคมี: พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสควันพิษ ฝุ่น PM 2.5 สารเคมีอันตราย หรือสารพิษในที่ทำงาน
4. การจัดการสุขภาพจิตและการพักผ่อน
จัดการความเครียด: หาเวลากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น โยคะ นั่งสมาธิ หรือทำงานอดิเรก เพราะความเครียดเรื้อรังส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับให้ได้ 7−8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ที่เสียหาย
5. การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
แม้จะดูแลตัวเองดีแล้ว การตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นประจำจะช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูง
ตรวจสุขภาพประจำปี: แจ้งแพทย์ถึงประวัติสุขภาพและครอบครัวที่เป็นมะเร็ง
ตรวจคัดกรองเฉพาะโรค: ควรเข้ารับการตรวจตามคำแนะนำของแพทย์เมื่อถึงวัยหรือมีความเสี่ยง เช่น
ผู้หญิง: ตรวจเต้านมด้วยตนเอง ตรวจเมมโมแกรม และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (แปปสเมียร์/HPV Test)
ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป: ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่
รับวัคซีนป้องกัน: ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี (มะเร็งตับ) และวัคซีนป้องกัน HPV (มะเร็งปากมดลูก)
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการสร้าง วินัยในชีวิต และใส่ใจดูแลร่างกายอย่างต่อเนื่อง หากคุณมีข้อสงสัยหรือมีอาการน่าสงสัยใด ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยไม่ลังเล